Ads. X 1

Ads. X

Ads. Job

Translate

หนังเรื่องไหนยังคลิ้กดูไม่ได้ รอก่อนนะครับ ผมกำลังอัพลงเวบอยู่ บางเรื่องหายากอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย อดทนรอไปก่อน แต่รับประกันได้ดูแน่นอน ^___^!!!<=================>!!!หนังดูฟรีทั้งหมดภาพและเสียงอาจจะด้อยกว่าแผ่นแท้ ดังนั้นถ้าท่านต้องการรับชมหนังแบบเต็มรูปแบบรบกวนท่านให้สนับสนุนอุดหนุนแผ่นแท้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ ^___^!!!

18/3/57

[สารคดี] 10 อันดับสถานที่ลึกลับสุดสยองขวัญที่สุดของโลก ภาคแรก

[สารคดี] 10 อันดับสถานที่ลึกลับสุดสยองขวัญที่สุดของโลก ภาคที่ 1 อันดับ 10-9-8

บนโลกเรานี้ ยังมีเรื่องราวมี่ลี้ลับมากมาย ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว หรือ สถานที่ต่างๆ ที่เกิดเหตุการณ์ลึกลับ สถานที่เหล่านี้ยังคงรอการพิสูจณ์จากผู้คนทั่วโลก วันนี้เราจะพาไปชมสถานที่ลี้ลับเหล่านั้น โดยจัดมาเป็น 10 อันดับที่น่าสนใจ....

Watch Free Here!!
ดูฟรีได้เลยจ้า!!


เริ่มต้นกันที่....

อันดับที่ 10

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่....


เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก

รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้


ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว


อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว


ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat – clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป


การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

แต่ในที่สุดก็มีบทพิสูจน์และคำอธิบายในเชิงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้แล้ว!!

ล่าสุดเมื่อเมื่อ ศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน และ เดวิด เมย์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ได้ไขปริศนาดังกล่าวให้กระจ่างชัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการศึกษาพบว่า ความจริงแล้ว บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไม่ได้เป็นประตูมิติ หรือดินแดนสิ่งมีชีวิตทรงปัญญากว่ามนุษย์แต่อย่างใด แต่พื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนปะทุขึ้นเหนือท้องทะเล ซึ่งก๊าซมีเธนนี้ เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ว่าวัตถุใด ๆ เคลื่อนที่ผ่าน มันก็จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็ว ดังเช่นปฏิกิริยาของก๊าซมีเธนที่เห็นในตัวอย่างนี้


ทฤษฎีดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจนที่สุด ดังนั้น จึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเลลึกอย่างไร้ร่องรอยใด ๆ ให้เห็น เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้นหายไปไหน ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใด ๆ ได้เลย.....


อันดับที่ 9

อาถรรพ์แห่งฮอลลีวู้ด


ไม่มีใครไม่รู้จัก ฮอลลีวู้ด ที่นี่คือ สถานที่แจ้งเกิดระดับโลกของเหล่าดาราดัง เป็นแหล่งสร้างภาพยนตร์ชั้นนำของโลกเลยก็ว่าได้ แต่ใครจะรู้เล่า ว่า ณ ที่แห่งนี้กลับได้รับการขนานนามว่าเป็น สถานที่ที่สยองขวัญมากที่สุดของโลกด้วยเช่นกัน มีอะไรกันบ้างนั้น ลองไปดูกัน....

เริ่มต้นที่ตำนานของ โรงแรมหลอน ฮอลลีวู้ด รูสเซเวลท์...


โรงแรมฮอลลีวู้ด รูสเซเวลท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยได้รับรางวัล Academy Awards ในปี 1929 หลายห้องพักของโรงแรมมีรอยประทับฝ่ามือของซูเปอร์สตาร์ระดับฮอลีวู้ดจารึกไว้มากมาย และความดังขั้นเซเลบไม่จบแค่นั้น เพราะปรากฏว่ามีเรื่องเล่าว่า มีผีคนดังคอยหลอกหลอนแขกที่มาพักแห่งนี้.... นั่นคือผี มาริลีน มอนโรว!!
ผีมาริลีน มอนโรว เคยเป็นแขกประจำที่นี่ และเมื่อเธอเสียชีวิตลงไป หลังจากนั้น เธอก็มักจะมาปรากฏตัวอยู่ในกระจก ณ ห้องที่เธอเคยพัก.....


แบบว่า ใครก็ตามที่มาพักห้องนี้...เมื่อเห็นกระจกบานนั้น ก็ต้องเลียวหลัง และ เสียวหลังอยู่เสมอ! ความดังนี้จึงทำให้มีคนล่าท้าผีชอบที่จะมาขอพิสูจณ์ ณ ห้องนี้เรื่อยมา โดยการไปยืนหน้ากระจก เรียกหาผีมาริลีน มอนโรว แล้วจึงถ่ายรูป เพื่อจะดูว่ามีเธออยู่ในนั้นหรือไม่


และสยองต่อด้วย ผีมอนท์โกเมอรี่ คลิฟท์ นักแสดงที่เคยพัก ณ ห้อง 928 ขณะถ่ายทำหนังเรื่อง From Here to Eternity วันดีคืนดีพี่แกก็เดินไปเดินมาพร้อมท่องบท!

อีกโรงแรมหนึ่งซึ่งมีตำนานหลอนไม่แพ้กันนั้นก็คือ โรงแรม The Knickerbocker


โดยผู้ที่เคยได้เข้ามาพักในโรงแรมแห่งนี้ต่างก็โจษจันกันในสิ่งที่พวกเขาพบเจอ เช่น วิญญาณที่แต่งตัวโบราณ ไฟเปิดปิดเอง หรือแม้กระทั่งพัดลมที่บินโฉบไปมา... 

นอกจากนี้ในบริเวณฮอลลีวู้ดยังมีตำนานอื่นๆที่มีผู้ได้เล่าขานเอาไว้อีกมากมายอาทิเช่น...

สุสาน ฮอลลีวูด ฟอร์เอเวอร์ 6000 ถนนซานตามอนิก้า เสียงเล่าลือว่า มีผู้หญิงสวมชุดสีดำคลุมหน้า นำดอกไม้สดไปวางที่หลุมฝังศพของ รูดอล์ฟ วาเลนติโน ทุกอาทิตย์ 


ป้ายฮอลลีวูด ที่กริฟฟิค พาร์ค ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า มีดาราสาวฆ่าตัวตายเมื่อปี 1930 ยังคงปรากฏตัวให้เห็น เดินเล่นรอบๆ ป้ายสัญลักษณ์ของฮอลลีวูด 


โรงภาพยนตร์แพนเทจ 6233 ถนนฮอลลีวูด กล่าวขวัญกันว่า วิญญาณมหาเศรษฐีพันล้าน โฮเวิร์ด ฮิวส์ เจ้าของโรงหนังยังปรากฏให้เห็น


ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ฮอลลีวูด 100 ยูนิเวอร์แซล ซิตี้ มีบางคนเล่าว่า เห็นผ้าคลุมไหล่สีดำของ ลอน แชนนี่ ซีเนียร์ พลิ้วตามทางเดินกระทบกับโคมระย้าซึ่งถูกถอดออกไปแล้วหลายปี


คอมเมอร์ดี้ สโตร์ 8433 ถนนซันเซ็ท ไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือเรื่องตลก มีคนเห็นผีเดินควงหลายคู่เดินกระแทกเท้าบนพื้น ครั้งหนึ่งเป็นสถานที่พวกผู้มีอิทธิพลชุมนุมกันในช่วงศตวรรษที่ 1940 


กรอแมน ไชนีส เธียเตอร์ 6925 ถนนฮอลลีวูด ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า วิญญาณของดารา วิคเตอร์ คิลเลียน คอยส่งสียงประหลาด และเคลื่อนย้ายสิ่งของในโรงหนังเพื่อหาตัวฆาตกร


เรือควีน แมรี่ 1126 ควีนแมรี่ เมืองลองบีช เรื่องเล่าขานสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปพัก ว่ามีเรื่องลี้ลับเช่น มีน้ำกระเซ็น และรอยเท้าเปียกรอบๆ สระน้ำที่ปล่อยน้ำออกหมดจนแห้งสนิทมานานแล้ว 


โรงหนัง ไซเรนท์ 611 ถนนแฟร์แฟ็กซ์ ข่าวลือกระจายต่อๆ กันว่า วิญญาณของอดีตเจ้าของสองคนหลอกหลอนใน ฮอลลีวูด โกลเดน เอจ


ฮอลลีวูด แว็กซ์ มิวเซียม 6767 ถนนฮอลลีวูด มีเครื่องหมายเตือนข้างนอกว่า มีวิญญาณวนเวียนอยู่กับรูปปั้นเท่าคนจริงของดาราและคนมีชื่อเสียงที่ยังมีชีวิตอยู่.....




ไปต่อกันที่ อันดับที่ 8


หอคอยแห่งลอนดอน....


หอคอยแห่งลอนดอนเคยเป็นทั้งวัง ป้อมปราการ คุกและลานประหาร ในอังกฤษนี่ มีสถานที่หลายแห่งที่ว่ากันว่ามีคนเคยเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วมาหลอกหลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโบราณสถานสำคัญ ๆ เช่นป้อม วัง หรือหอคอยโบราณ Tower of London หรือ หอคอยแห่งลอนดอน เป็นอีกที่หนึ่งที่ร่ำลือกันว่า "ผีดุ"......

หอคอยแห่งลอนดอนสร้างมาเกือบพันปีแล้ว เป็นโบราณสถานที่มีประวัติเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขึ้นครองราชย์ การแย่งชิงราชบัลลังก์และการสร้างชาติของอังกฤษ ที่นี่เคยใช้เป็นทั้งพระราชวัง ป้อมปราการ ที่คุมขังนักโทษและเป็นลานประหาร

ผีที่ร่ำลือกันและมีคนกล่าวอ้างว่ามาปรากฎร่างให้เห็น ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องมาจบชีวิตในป้อมแห่งนี้ ส่วนใหญ่จากไปแบบ "ตายโหง" ความที่ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและลานประหารนี่เอง ทำให้หอคอยแห่งลอนดอนมีประวัติที่ชวนให้ขนลุกและน่าสยดสยองพ่วงเข้าไปด้วย

ตึกหลังหนึ่งในหอคอยแห่งลอนดอนซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันมากคือ Bloody Tower หรือ หอคอยเลือด Bloody Tower เคยใช้เป็นที่ประทับและคุมขังเจ้าชายสองพระองค์ คือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า วัย 12 พรรษา กับ เจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก พระอนุชาวัย 9 พรรษา


กล่าวกันว่าพระเจ้าริชาร์ดที่สามทรงสั่งสังหารพระภาติยะทั้งสองเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์ ห้องที่ว่ากันว่าเจ้าชายทั้งสองพระองค์ทรงใช้บรรทมก่อนถูก "อุ้ม" หายไปอยู่บนชั้นสองของ Bloody Tower บันไดหินที่พาวนขึ้นไปค่อนข้างแคบ ตัวห้องซึ่งอยู่พ้นบันไดไปมีขนาด 4 คูณ 5 เมตร มีผนังสีขาว

ฟิล วิลสัน เจ้าหน้าที่ประจำหอคอยแห่งลอนดอนซึ่งพักอยู่ในบริเวณหอคอยด้วยเล่าว่าทำไมคนถึงเชื่อว่าวิญญาณเจ้าชายทั้งสองยังวนเวียนอยู่ในหอคอยเลือดแห่งนี้

"ที่ Bloody tower มีคนเคยเห็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้ากับเจ้าชายริชาร์ด พระอนุชาเป็นบางครั้งบางครา ทั้งสองพระองค์ทรงชุดบรรทมสีขาว จับพระหัตถ์กัน ทรงยืนนิ่ง ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายเข้าไปในผนังห้อง บ้างก็มีรายงานว่าเห็นเด็กผู้ชายสองคนวัยไล่เลี่ยกัน เล่นตามประสาเด็กตามที่ต่าง ๆ ภายในหอคอย ว่ากันว่าริชาร์ด ดยุค ออฟ กลอสเตอร์ พระปิตุลาทรงสั่งฆ่าเจ้าชายทั้งสองเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์แทน"


ตามประวัติ หลังจากที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สี่ พระราชบิดาของเจ้าชายทั้งสองเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2026 ริชาร์ด ดยุกออฟกลอสเตอร์ที่เป็นพระปิตุลา ทรงขึ้นทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและได้พาเจ้าชายน้อยทั้งสองไปประทับที่หอคอยแห่งลอนดอน

เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทรงเตรียมเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า แต่ท้ายที่สุด คนที่ได้นั่งบัลลังก์กลับเป็นพระปิตุลาซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่สาม ตอนนั้น เจ้าชายทั้งสองยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่จากนั้นก็หายไปอย่างเป็นปริศนา......


ห้องชั้นสองใน Bloody Tower ที่ว่ากันว่าเป็นห้องเกิดเหตุ มีวิดิทัศน์สั้น ๆ จากภาพยนตร์ของเซอร์ลอว์เรนส์ โอลิเวียร์ ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2498 เกี่ยวกับการหายไปของเจ้าชายทั้งสองในหนังดังกล่าว พระปิตุลาของเจ้าชายทรงสั่งให้มหาดเล็กคนสนิทเอาหมอนปิดปากปิดจมูกเจ้าชายทั้งสองขณะกำลังบรรทม....

เมื่อปี พ.ศ. 2217 ช่างซึ่งกำลังทุบบันไดหินทางใต้ของ White Tower หรือ หอคอยขาวในหอคอยแห่งลอนดอน พบหัวกระโหลกเด็กสองหัวตอนนั้นคนเชื่อว่าเป็นกระโหลกของเจ้าชายทั้งสองและพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองที่ครองราชย์อยู่ ทรงสั่งให้นำกระดูกไปผังที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็พิสูจน์ได้เพียงแต่ว่ากระโหลกนั้นเป็นของเด็กอายุราว 10 ขวบ
พระนางแอน โบลีนเป็นพระราชินีองค์แรกของอังกฤษที่ทรงถูกประหารชีวิต.....


วิญญาณที่เล่าขานกันว่ามาปรากฎให้เห็นบ่อย ๆ ที่หอคอยแห่งลอนดอนคือวิญญาณของพระนางแอน โบลิน มเหสีองค์ที่ 2 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด ซึ่งถูกบั่นพระเศียรเมื่อปี พ.ศ. 2079 โดยบางครั้งมาแบบผีหัวขาดด้วย!!

ฟิล วิลสัน เจ้าหน้าที่ประจำหอคอยแห่งลอนดอนเล่าว่า "มีคนเจอพระนางแอน โบลินหลายที่ครับ ทั้งที่ Tower Green ในควีนส์เฮาส์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นสถานที่พระนางประทับก่อนถูกประหาร พระนางต้องโทษประหารฐานนอกพระทัยพระเจ้าเฮนรี่ แต่พระนางทรงร้องขอพระสวามี ไม่ให้ใช้ขวานตามธรรมเนียมอังกฤษเพราะทรงหวาดกลัวมาก ทรงขอให้ใช้ดาบตามธรรมเนียมฝรั่งเศส พระเจ้าเฮนรี่ทรงทำตามพระประสงค์สุดท้ายของพระราชินี ทรงจ่ายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นำเพชฌฆาตมาจากเมืองคาเล่ส์ในฝรั่งเศส ว่ากันว่าเพชฌฆาตคนนี้ฝีมือแม่นมาก ฟันฉับเดียว พระเศียรหลุดทันที แต่พอเพชฌฆาตยกพระเศียรขึ้นชู พระเนตรของพระนางยังลืมอยู่และพระโอษฐ์ก็ขมุบขมิบ ผู้คนที่ไปดูการประหารเชื่อว่าพระนางทรงสาบแช่ง"


ในอังกฤษ ดูเหมือนจะมีพระนางแอน โบลินเพียงพระองค์เดียวที่ถูกประหารชีวิตด้วยใช้ดาบบั่นพระเศียร นอกนั้นใช้ขวานตามธรรมเนียม
จุดประหารมีชื่อว่า ทาวเวอร์กรีน เป็นสนามหญ้าอยู่ในเขตหอคอยแห่งลอนดอน ทุกวันนี้ทางหอคอยปรับพื้นที่ให้เห็นชัดเจนขึ้น ทำเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ มีรั้วกั้นเป็นสัดส่วน ตั้งตรงหน้าโบสถ์หลวง เซนต์ปีเตอร์ แอด วินชูล่า (St Peter ad Vincula) พอดี


บริเวณตรงนี้ยังเป็นที่ประหารเจ้านายชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนรวมถึงพระนางแคทเธอรีน ฮาวเวิร์ด มเหสีองค์ที่ 5 ในพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดด้วย แต่ที่เฮี้ยนที่สุดคือวิญญาณของพระนางแอน โบลีน

ฟิล วิลสัน เล่าให้ฟังเพิ่มจากประสบการณ์ของไกด์คนหนึ่งว่า

"มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพานักท่องเที่ยวเข้าชมโบสถ์หลวงเซนต์ปีเตอร์ แอด วินชูล่า พอบรรยายให้นักท่องเที่ยวฟังเสร็จก็ออกมาจากโบสถ์ มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งถามขึ้นมาว่าตอนที่อยู่ในโบสถ์ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นใคร ไกด์ก็ตอบกลับไปว่าไม่มีใครยืนอยู่ข้างหลังผมหรอก แต่นักท่องเที่ยวคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอ แถมอธิบายเพิ่มว่าผู้หญิงที่ยืนข้างหลังนั้นรูปร่างไม่สูงเท่าไหร่ ใส่ชุดดำและยืนอยู่ตรงหลุมฝังศพพระนางแอน โบลิน"

อีกคนที่ถูกบั่นคอในต่างกรรมต่างวาระ แต่ตรงที่เดียวกับพระนางแอนโบลินคือเลดี้เจน เกรย์


มีคนเห็นเลดี้เจน เกรย์ ครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบรอบ 403 ปีที่พระนางถูกบั่นพระเศียรคอ ยามสองคนเล่าว่าเห็นร่างในชุดสีขาวที่ชั้นใต้ดินของหอคอย....

การประหารที่น่าสยดสยองมากครั้งหนึ่งคือการบั่นคอ มาการ์เร็ต โพล เคาน์เตสแห่งซอลส์เบอรี่ ฐานเป็นกบฎต่อแผ่นดิน นางไม่ยอมคุกเข่าเอาหัววางลงที่แท่นประหารเพื่อให้เพชฌฆาตบั่นคอและพยายามจะหนี ด้านเพชฌฆาตก็เป็นมือใหม่ ต้องพยายามใช้ขวานตัดคอนางให้ขาด


ว่ากันว่าวันดีคืนดีโดยเฉพาะในวาระครบรอบวันที่นางถูกบั่นคน ก็มักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงแผดร้องและเสียงวิ่งหนีดังอยู่ในบริเวณหอคอย!!

บริเวณที่ว่ากันว่ามีวิญญาณมาหลอกหลอนให้เห็นบ่อยที่สุดคือ Salt Tower ซึ่งในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ใช้เป็นที่คุมขังนักบวชคณะเยซูอิตบริเวนชั้นบนของหอคอยจะเห็นร่องรอยที่นักโทษขีดเขียนตามผนังกำแพงด้วย....


"ในบรรดาหอคอยทั้งหมดของหอคอยแห่งลอนดอน ว่ากันว่า Salt Tower เป็นหอคอยที่เฮี้ยนที่สุดครับ มียามคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาพยายามจะขึ้นไปชั้นบนของหอคอย แต่ขึ้นไปไม่ได้ เหมือนกับว่ามีกำแพงมากั้น แต่ที่แปลกคือมองไม่เห็นกำแพง ก่อนนั้นมียามอีกคน ต้องตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะรู้สึกว่ามีอะไรมารัดคอ พ่อหนุ่มคนนี้ร้องเสียงหลงสุดชีวิต รีบวิ่งออกมาจากห้องพัก ทั้งในชุดนอนนั่นแหละครับ ตะกุกตะกักเล่าให้เพื่อนฟังว่ามีคนพยายามจะฆ่า หลังจากนั้น เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปใน Salt Tower อีกเลย" ฟิล วิลสัน จากหอคอยแห่งลอนดอนเล่า


ในเอกสารที่ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ส่งให้ทางบีบีซี ยังขยายความน่าขนลุกของ Salt Tower เพิ่มเข้าไปอีกโดยบอกว่าพอตกดึกแล้ว ไม่เพียงแต่คนเท่านั้นที่ไม่กล้าเข้าไปในหอคอยแห่งนี้ แม้แต่สุนัขก็ยังขยาด!!

ทั้งนี้ยังมีตำนานคำสาปสุดสะพรึงของที่นี่ที่ยังสืบทอดกันมาจนถุงยุคปัจจุบัน โดยหาได้มีใครกล้าลบหลู่... นั่นก็คือ คำสาปแห่งอีกา

ป้อมปราสาทนี้เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมายหลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือนนครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!


เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบหาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน!!


อันดับที่ 7

พิพิธภันฑ์ทางการแพทย์ มุธเธอร์ ฟิลาเดลเฟีย


พิพิธภันฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา...


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพิพิธภัณฑ์ Mutter Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สยองที่สุด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1858 ด้วยการบริจาคของนายแพทย์ Thomas Dent Mutter สถานที่นี้กลายเป็นที่เก็บตัวอย่างของคนที่เป็นโรคแปลกๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก....


นายแพทย์ Thomas Dent Mutter

ของสะสมที่มีชื่อเสียงที่สุดของพิพิธภัณฑ์นี้คือ เหล่ากระโหลกและแบบจำลองศีรษะของคนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระโหลกที่แปลก ประหลาด เช่นผู้หญิงที่มีเขางอกออกมาจากหน้าผาก





ชุดสะสมหัวกระโหลกที่มีชื่อเสียง


แบบจำลองผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคประหลาดมีเขางอกออกมาจากหน้าผาก


นอกจากนั้นก็ยังมีโครงกระดูกที่สูงที่สุดในแถบอเมริกาเหนือ 


ลำไส้ใหญ่ขนาดยักษ์ ......


และตัวอ่อนของทารกที่ป่วยเป็นโรคความผิดปกติต่างๆ นี่เป็นแค่ส่วนน้อยนั้นเพราะของสะสมทั้งหมดในพิพิธภัณฑ์นี้มีเยอะแยะมากมาย จนเขียนไม่หมด ถ้าใครชอบของแปลกๆ สุดสยอง สถานที่นี้คงเหมาะมากที่จะลองไปเที่ยวดู......





มาถึงอันดับต่อไป อันดับที่ 6....

ผีแห่ง เก๊ตตี้สเบิร์ก....


เก๊ตตี้สเบิร์กเป็นลานแห่งสงครามในสมัยอดีต โดย ยุทธการเก๊ตตี้สเบิร์ก เป็นส่วนหนึ่งของสงครามกลางเมืองอเมริกา โดยเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายสหรัฐอเมริกา นำโดยนายพลจอร์จ กอร์ดอน มีด กับฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา นำโดยนายพลโรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด ลี โดยสมรภูมิแห่งนี้ได้เกิดขึ้นในเมืองเกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย การปะทะกันกินเวลาทั้งสิ้น 3 วัน ยุทธการดังกล่าวนับว่าเป็นสมรภูมิที่นองเลือดมากแห่งหนึ่งในสงครามกลาง เมืองอเมริกา โดยมียอดผู้เสียชีวิตเกือบ 10,000 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 30,000 คน....


โดยในเดือนกรกฏาคม 1863 เมืองเล็กๆที่มีมหาวิทยาลัย รัฐเพนซิลเวเนีย ได้กลายเป็นจุดปะทะทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดในสงครามกลางเมือง โดยทหารมากกว่า150,000คนรวมตัวกันเปิดศึก และทหารตาย สูญหาย บาดเจ็บ ทุกวันนี้ยังมีเงาแห่งการต่อสู้ในรูปของผีทหารที่ตายในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านร้าง สวนสาธารณะ แต่สถานที่ที่แนะนำคือถ้ำปิศาจซึ่งหลายคนเรียกว่าหุบเขาปิศาจ ซึ่งเป็นป่าหินที่เป็นจุดต่อสู้รุนแรงที่สุดในสงครามกลางเมือง ซึ่งทุกวันนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่น่าขนหัวลุกเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ...





ปัจจุบันมีผู้คนเดินทางมาเที่ยว ณ สถานที่แห่งนี้มากกว่าปีละแสนคน เพื่อสัมผัสบรรยากาศชวนขนลุก บางท่านก็เข้ามาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ และ การสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองของโลก....

ภาพถ่ายติดวิญญาณ?


ภาพนี้ถ่ายขึ้นด้วย Chris Payne ประชาชนชาว Woodbridge รัฐ New Jersey ที่สนามรบ Gettysburg National ในปี 1988 กล้อง ที่ใช้เป็นกล้อง 110 Instamatic เเบบธรรมดาที่ใช้เเฟลช์ ในรูปข้างๆของ Terri Payne กับล้อของปืนใหญ่สามารถเห็นได้ถึงกลุ่มควันเเปลกประหลาด รูปอื่นๆที่ถ่ายออกมาจากกล้องเดียวกันนี้ก็ไม่ปรากฏกลุ่มควันดังกล่างเเต่อย่างใด....

หลังจากใช้เครื่องมือวิเคราะห์ภาพเเบบใกล้ๆดูเเล้ว จะเห็นเป็นเหมือน หน้าของคน ซึ่งส่วนนี้จะต้องใช้เครื่องมือเท่านั้นถึงจะเห็น ไม่สามารถเห็นจากตาเปล่าได้!


อันดับต่อไป อันดับที่ 5

เมืองแห่งคำสาปวูดู นิวออร์ลีนส์


นิวออร์ลีนส์ เป็นเมืองท่าสำคัญของสหรัฐอเมริกาและเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นพื้นที่เมืองในรัฐลุยเซียนา

ชื่อเมืองตั้งชื่อตามฟิลิปป์ที่ 2 ดยุคแห่งออร์เลอองส์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งฝรั่งเศส เมืองเป็นที่รู้จักในเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสอันโดดเด่น เช่นเดียวกับมรดกวัฒนธรรมอันผสมผสานหลากหลายนิวออร์ลีนส์ยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหาร ดนตรี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสถานที่เกิดของเพลงแจ๊ซ) และเทศกาลและงานเฉลิมฉลองประจำปี อย่าง มาร์ดิกราส เมืองยังมักถูกเอ่ยถึงว่าเป็น เมืองที่มีลักษณะเฉพาะที่สุดในสหรัฐอเมริกานิวออร์ลีนส์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนา ระหว่างแม่น้ำมิสซิสซิปปี.....


นิวส์ออร์ลีน เป็นเมืองขึ้นชื่อที่สุดในอเมริกาเรื่องผีดุ ชาวเมืองต่างเคยได้ยินเรื่องเล่าหรือได้เห็นสิ่งประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวใน สารพัดรูปแบบทั้ง เรื่องการตายของคนจำนวนมาก หลุมศพที่มีให้เห็นกลาดเกลื่อน ผีดูดเลือด ไปจนถึงลัทธิพ่อมดหมอผีวูดู นั่นเพราะเคยมีโรคระบาดร้ายแรง อหิวา และไข้เหลืองที่คร่าชีวิตชาวเมืองไปทีละหมื่น .....


แ่ต่ผีที่หลายคนรู้จักก็คือ มารี ลาโว ผู้นำลัทธิวูดูที่มีชื่อเสียงในปี 1800 ที่ไ้ด้รับความศรัทธาอย่างแรงกล้าของที่นี่ กล่าวกันว่าเธอทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมด และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองได้ง่ายๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู เธอทำให้ผู้คนในลัทธิหันมานับถือพระแม่มารี และยังนำพิธีปฏิบัติของชาวแคทอลิคเข้ามาใช้ในลัทธิวูดู   ทุกวันนี้อิทธิพลของมารีและลูกสาวที่มีต่อเงามืดแห่งลัทธิวูดูในเมืองนิ วออร์ลีนยังไม่จางหายไป ทั้งคู่ถูกฝังคู่กันในสุสาน 2 ชั้นทำจากหินสีขาว ที่แท่นฝังศพหมายเลข 1 ในสุสานเซนต์หลุยส์


กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ 
1. เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี
2. หมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ 
3. เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน 
4. แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ 
5. จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติ อย่างไร) 

ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้.... น่าสนนะ อิอิ....


ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังทำพิธีกรรม....

ส่วนสถานที่แห่งผีดุของที่นี่ก็คือ บ้านหรูหราซึ่งเป็นสมบัติตกทอดของ เดลฟีน ลา ลอรี่....


เรื่องเล่าที่น่าจะเป็นสาเหตุที่มาของเรื่องราวด้านลบของมาดาม ลา ลอรี่ ก็คือการที่มาดามและครอบครัวจะมาอาศัยอยู่ที่อาคารเลขที่ 1140 ถนนโลยัล ใกล้กับอาคารลาลอรี่ในช่วงปี 1830 เป็นบางครั้ง ซึ่งเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มาเรีย (Marie Laveau) ก็อาศัยอยู่ใกล้กับบ้านดังกล่าว โดยเชื่อกันว่าเพื่อนของเธอผู้นี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์มนต์ดำวูดู จนได้ฉายาเป็น ราชินีแห่งวูดู ทำให้เกิดความเชื่อกันว่า มาดามลาลอรี่ได้เรียนเกี่ยวกับศาสตร์วูดูจากเพื่อนของเธอผู้นี้ และได้ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีจิตวิปริตโหดเหี้ยมในกาลต่อมา...


ในปี 1831 เดลฟีน ลา ลอรี่ เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตรกรต่อเนื่อง ว่ากันว่าเธอทรมาน ทำให้พิการ และฆ่าทาสตายไปกว่า 100 ศพ จนกระทั่งในปี 1834 ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น เมื่อนักดับเพลิงเข้าไปก็พบทาสทั้งชาย และหญิงถูกล่ามโซ่บ้าง ขังในกรงสุนับบ้าง....


บางคนถูกทำให้เสียโฉม บางคนถูกตัดทั้งแขน และขา อีกจำนวนหนึ่งถูกเย็บปากติดกันเพื่อให้อดอาหารตาย แต่เํธอคนนี้กลับรอดพ้นจากความผิด เพราะเธอมีญาติเป็นผู้ว่าที่ร่ำรวย แต่ที่แน่ๆ คฤหาสน์ดังกล่าวได้มีสิ่งที่หลายคนพบเห็นในตัวบ้านเช่น วิญญาณหลอนพร้อมทั้งเสียงกรีดร้อง และเสียงหวดของแส้เป็นระยะๆ....


อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันก็ยังมีรายงานเกี่ยวกับ การพบเห็นประสบการณ์หลอนของผีสิงในอาคารลาลอรี่แห่งนี้อยู่เนืองๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพบเห็นภาพ และได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ของเหล่าวิญญาณทาสที่ถูกทรมาน บางคนยังบอกว่าวิญญาณเหล่านั้น พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก ในขณะที่ภาพเหตุการณ์ของพวกทาส ที่ถูกแผดเผาด้วยไฟในครั้งเกิดอัคคีภัย ก็ยังวนเวียนมาให้ผู้คนได้พบเห็นกันบ่อยครั้ง เรื่องของเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของที่เคลื่อนย้ายได้เอง ก็มีคนพบเห็นกันไม่น้อย รวมไปถึงภาพใบหน้าของภูติผี ที่สิงสู่ในอาคารหลังนั้น ปรากฏให้เห็นตามช่องหน้าต่าง ผนัง และสถานที่ต่างๆ ภายในตัวอาคารแห่งนี้ จนหลายคนเชื่อกันว่า บ้านหลังนี้ได้กลายเป็นเบ้าหลอมแห่งความตายไปแล้ว....



รออ่านอันดับที่ 1-4 ได้ในตอนต่อไปนะครับ อย่าลืมติดตาม!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น